Rational  Prescription  For  Hypercholesterolemia

Using  PBL  And  EBM  Approach

Robbear7 Website Designs

Robbear7 Website Designs

 

 

Index

Preface

Case Scenario

Information

Other Drugs

Indication

Efficacy

Risk

Cost

Prescription

Pat Edu & FU

Rx Conclusion

Conclusion

References

ยาอื่นๆที่ระบุไว้ในใบสั่งยา  ยกเว้น Simvastatin

(1)   Acetaminophen6(1),7(1),8(1),9(1)  เป็นยาในกลุ่ม Non  narcotic  analgesics  จัดอยู่ในยาบัญชี ก.  ในบัญชียาหลักแห่งชาติ

กลไกการออกฤทธิ์ :ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนซัมย์  cyclooxygenase  ทำให้การสร้าง prostaglandins ลดลง โดยมีผลยับยั้งการสร้าง prostaglandins  ในสมองมากกว่าส่วน peripheral

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา: paracetamol  มีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้พอกับ aspirin  แต่มีฤทธิ์ลดการอักเสบน้อยกว่ามาก  ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด และไม่มีผลต่อการขับกรดยูริกในเลือด

        Phamacokinetic : ยาในกลุ่มนี้ถูกดูดซึมได้ดีจากทางเดินอาหาร   ได้รับยาสูงสุดในเลือดในเวลา     30-60  นาที  ค่าครึ่งชีวิตในเลือดประมาณ 2 ชั่วโมง ถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ตับ

        Adverse  Effect : ในขนาดที่ใช้ปกติอาจเพิ่มhepatic  enzyme โดยไม่มีอาการของดีซ่านซึ่งอาการเหล่านี้สามารถ reversible  เมื่อเลิกใช้ยาในขนาดสูงอาจทำให้เกิดอาการ dizziness , excitement และ disorientation 

        Dosage : ขนาดที่รับประทานแก้ปวดลดไข้  ผู้ใหญ่  10  มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อครั้ง หรือ 325-1,000  มิลลิกรัมต่อครั้ง  และวันละไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัม

        การใช้ยาต่อเนื่องนานเกินกว่า 10 วัน ไม่ควรใช้ยาเกิน2,600 mg/วัน

การใช้paracetamol  ในการรักษาโรค osteoartritis10(1),11(1),12(1),13(1)

        มีการศึกษาโดยใช้ randomized , double  blind  trial  พบว่า paracetamol  มี efficacy ในการรักษาโรค osteoartritis ที่ข้อเข่าได้ใกล้เคียงกับยา ibuprofen  และ naproxen ซึ่งจัดเป็นยาในกลุ่ม NSAI Ds

 ส่วนในเรื่องความเสี่ยงจากการใช้ยา พบว่า paracetamol มีโอกาสที่จะทำให้เกิด toxicity น้อยกว่า naproxen นอกจากนี้เนื่องจากยา paracetamolไม่ใช่ยาในกลุ่ม NSAIDS  การใช้ยานี้จึงไม่เกิด upper  gastrointestinal  adverse  effect  จึงเหมาะแก่การใช้ในผู้ป่วย ซึ่งมีความเสี่ยงต่อ ADRs นี้  เช่นในผู้ป่วยรายนี้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี

ในด้านราคายาชนิดนี้ เป็นยาที่มีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับราคายาในกลุ่มNSAIDs โดยรวม

ขนาดของยาที่ใช้ แก้ปวดข้อในโรค osteoartritis ให้ใช้ในขนาดปกติที่ใช้ลดไข้แก้ปวด

นอกจากนี้ยังมี guideline แสดงให้มีการใช้ยา paracetamol  เป็น drug  of  choice  ในการรักษาโรค osteoartritis อีกด้วย

กล่าวโดยสรุป  ในผู้ป่วยรายนี้ซึ่งเป็น osteoarthritis ที่เข่าข้างขวา  เราจึงควรให้ยา paracetamol  โดยให้ครั้งละ 650 mg  ทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการปวดเข่า  แต่ไม่เกินวันละ 2,600 mg (4 เม็ด) โดยเราควรให้ patient  education เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก  การออกกำลังกาย  การทำงานที่ไม่ลงน้ำหนักที่ข้อมากเกินไป เป็นต้นร่วมด้วย 

 

 

(2)   Hydrochlorothiazide21,6(2),7(2),9(2),14(1),15(1),16(1),17(1),18(1) ,33(1)

จัดอยู่ในยา ก ในบัญชียาหลักแห่งชาติ

กลไกการออกฤทธิ์  -  ออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึม  Na+    ที่ DCT โดยยับยั้ง Na+ , Cl -  cotransport  ทาง luminal  membrane

 -  thaizide  ชนิดที่ละลายได้ในน้ำ (chlorothiazide  และ hydrochlorothiazide) ออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึม Ca+2 ในproximal  tubule  ออกฤทธิ์ ยับยั้งการดูดซึม Na+  , Cl -  และน้ำที่medullary  collecting  duct 

 -  thaizide  ยังออกฤทธิ์ลดปริมาณCa2+  exeretion  เพิ่มปริมาณ Mg2+ exeretion  ลดUrate  clearance  ออกฤทธิ์โดยตรงต่อหลอดเลือดโดยลด vascular  reactivity

        Phamacekinetic : Thaizide  ถูกดูดซึมโดยสมบูรณ์จากระบบทางเดินอาหาร  รวมตัวอย่างเต็มที่กับพลาสมา โปรตีนถูกคัดหลังออกในท่อไตโดย proximal  tubule

        ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา : ส่วนใหญ่มีฤทธิ์ต่อ hemodynamic  ถ้าใช้ Hydrochlorothiazide 50 มิลลิกรัม  ซึ่งเป็นขนาดสูงจะกดปริมาตรพลาสมา , CO , GFR (glomerular  filtration  rate) , RBF (renal  blood  flow) และMAP (mean  arterial  pressure)  แต่ถ้าใช้ยาระยะยาวในขนาดต่ำ 12.5-25 มิลลิกรัม  ก็สามารถลดความดันโลหิตและปริมาตรพลาสมาตลอดจน CO และ GFR ที่ลดลงในระยะแรกกลับคืนสู่ระดับเกือบปกติได้   แต่MAP ยังคงลดลงร่วมกับการลดลงของ systematic  vascular  resistance

        ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาทาง clinic

ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูง

ภาวะบวมโดยผู้ป่วยต้องมีค่า GFR > 20-30 มล/นาที หรือ Cr <2-4 มก/ดล

รักษาภาวะ hypercalciuria และ neprolithiasis

รักษาภาวะ diabetes  inspidus

นอกจากนี้ผู้ป่วยสูงอายุ (³ 65 ปี ) ควรเลือกใช้ยาขับปัสสาวะกลุ่ม thiazide เป็น drug  of  choiceเพราะคนสูงอายุมี low-reninและhigh  blood  volume ซึ่งควรตอบสนองต่อยาขับปัสสาวะได้ดี  ให้ยาในขนาดต่ำ  เช่น Hydrochlorothiazide วันละ 12.5-25 มิลิกรัมอาการข้างเคียงจะน้อย

Side  Effect

Hypokalemic  Metabolic  Alkalosis  and  Hyperuricemia

Impaired  Carbohydrate  Tolerance

Hyperlipidimia

Hyponatremia

Allergic  Reactions

6.   Other  Toxicities : Weakness , Fatigability , and  paresthesias  may  be  similar  to  those  carbonic  anhydrase  inhibitors. Impotence  has  been  reported  but  is  probaby  related  to  volume  depletion.

Contraindication : OverZealous  use  of  any  diuretic  is  dangerous  in  hepatic  cirrhosis , borderline  renal  failure , or  congestive  heart  failure

Dose : ใช้ในขนาดไม่เกิน 25  mg  ให้โดยวิธีรับประทาน วันละ 1 ครั้ง

 การใช้ Hydrochlorothiazideในการรักษา Hypertension

                การศึกษา Systematic  reviewsและmeta-analysisสนับสนุนว่า ควรมีการใช้ยาตัวนี้เป็น first  line  agent  ในการรักษา Hypertension ในคนแก่ โดยเมื่อใช้ในขนาดต่ำจะมีผลช่วยลดอัตราการตาย stroke และ coronary  artery  disease  แต่ถ้าใช้ในขนาดสูงจะไม่มีผลช่วยลดอัตราการเกิด coronary  artery  disease โดยในยากลุ่มนี้จะมีผลช่วยเพิ่ม quality  of  life  มากกว่ายาในกลุ่มอื่น   นอกจากนี้เมื่อเทียบกับยาในกลุ่ม ACEI มีหลักฐานแสดงว่ายาในกลุ่มนี้มีประสิทธิ์ภาพดีกว่ายาในกลุ่ม ACEI

                ในเรื่องความเสี่ยงจากการใช้ยาไม่มีหลักฐานว่า antihypertensive  drug  กลุ่มใหม่จะช่วยลด side  effect ได้แต่อย่างใด

                ส่วนในเรื่องค่าใช้จ่าย  จากการใช้ยานี้พบว่า generic  diuretics  and  beta-blockers เป็น the  most  cost-effective  drug  classes

                นอกจากนี้ยามี clinical  guideline  แสดงให้มีการใช้ diuretic  low  dose  ในการรักษา Hypertension

        ในผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้สูงอายุที่มี Hypertension  stage I   เราจึงควรให้ยาชนิดนี้โดยเริ่มต้นให้ครั้งละ 12.5  mg ต่อวัน ถ้าความดันไม่ลดลงและไม่มีผลข้างเคียงให้พิจารณาเพิ่มขนาดของยาหรือเพิ่มยาตัวอื่น  แต่ถ้ามีผลข้างเคียงที่รุนแรงให้พิจารณาเปลี่ยนยา  นอกจากการให้ยาแล้วควรมีการให้ patient  education แก่ผู้ป่วยโดยแนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย  และลดการทานอาหารเค็มร่วมด้วย  เป็นต้น