Rational  Prescription  For  Hypercholesterolemia

Using  PBL  And  EBM  Approach

Robbear7 Website Designs

Robbear7 Website Designs

 

 

Index

Preface

Case Scenario

Information

Other Drugs

Indication

Efficacy

Risk

Cost

Prescription

Pat Edu & FU

Rx Conclusion

Conclusion

References

5.  Prescription  writing

     5.1  เหตุผลที่ให้ยาในขนาดดังกล่าว (dose) 7(3)

        เนื่องจากระดับ cholesterol ในเลือดของผู้ป่วยค่อยๆเพิ่มไม่ได้เพิ่มอย่างรวดเร็ว  รวมทั้งผู้ป่วยยังมีสุขภาพปกติดี  ไม่มีอาการจากcomplication ต่างๆ  จึงไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ยาในขนาดสูงเพื่อรีบลดระดับ cholesterol ในเลือด

        จากขนาดในผู้ใหญ่ คือ 5-40 mg/วัน  แบ่งให้วันละ 1-2 ครั้ง  ดังนั้นขนาดยาเริ่มต้นที่เหมาะสมในผู้ป่วยรายนี้คือ 5 mg/วัน  ซึ่งเป็นขนาดยาที่ต่ำที่สุดก่อน  เพื่อที่จะลดผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าใช้ยาในขนาดสูง  อีกทั้งยังเป็นการดูว่าผู้ป่วยสามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้มากน้อยเพียงใด  เพื่อที่จะสามารถปรับขนาดยาที่เหมาะสมให้ผู้ป่วยได้โดยมีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยน้อยที่สุดต่อไป

        นอกจากนี้จากการที่ผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้สูงอายุ  ซึ่งอาจมีการทำงานของตับและไตไม่สมบูรณ์  จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในmaximum  dose  หรือในขนาดสูงรวมทั้งการใช้ยาในระดับต่ำจะมีราคาถูกกว่าการใช้ยาในขนาดสูง  ดังนั้นการเริ่มต้นด้วยยาขนาดต่ำสุดในผู้ป่วยรายนี้จึงน่าจะเหมาะสมที่สุด

     5.2  เหตุผลที่ใช้ยาด้วยวิธีดังกล่าว  (Method  of  Administration)6(3)

        1) ยาสามารถดูดซึมได้ดีและเร็วจากลำไส้ คือ ได้มากกว่า 85% รวมทั้งต้องเปลี่ยนแปลงเป็นรูป active  form (metabolites) คือ Beta-hydroxyl  form ที่ทางเดินอาหาร  การให้ยาโดยการรับประทานจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแล้ว

        2) เนื่องจากระดับ cholesterol ในเลือดมีค่าสูงสุดตอนเที่ยงคืน  เมื่อพิจารณาจากค่าครึ่งชีวิตของยา (half  life) คือประมาณ 1.5-2 ชั่วโมง และค่า peak  plasma  concentration  time คือ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง   เราจึงควรให้ยาแก่ผู้ป่วยในเวลาเย็น  ซึ่งจะทำให้ระดับยามีค่าสูงสุดในเลือดใกล้เคียงกับเวลาที่ระดับ cholesterol ขึ้นสูงสุดพอดี

        3)  ควรรับประทานยาพร้อมอาหารหรือ p.c.  เนื่องจากตัวยาอาจทำให้เกิด GI  side  effect  ต่างๆได้เช่น ปวดท้อง  ท้องเดินได้

        4) เนื่องจากยานี้มี first-pass  metabolism ที่ตับสูงและยาส่วนใหญ่จะจับกับ protein ในกระแสเลือด  รวมทั้งส่วนใหญ่จะถูกขับถ่ายผ่านตับในรูปของน้ำดี (ส่วนน้องจะถูกขับถ่ายทางไตในรูปปัสสาวะ) จึงควรระวังการใช้ยานี้ในโรคตับและไต  แต่ผู้ป่วยรายนี้แม้จะมีการทำงานของตับและไตไม่สมบูรณ์เนื่องจากเป็นผู้สูงอายุ  แต่ก็ไม่มีการแสดงอาการของโรคตับและไต  จึงเหมาะสมที่จะใช้ยานี้โดยวิธีการรับประทานในผู้ป่วยรายนี้

                5)  การให้ยาโดยการกินมีความสะดวกมากกว่าให้ยาโดยวิธีอื่นรวมทั้งผลข้างเคียงก็ต่ำเช่นเดียวกัน

     5.3  เหตุผลที่ให้ยาด้วยความถี่ดังกล่าว (Frequency)

        แม้ระดับค่า Half  Life  ของยาจะมีค่าไม่สูงมาก คือ ประมาณ 1.5-2 ชั่งโมง  โดยจะมี metabolism ที่ทางเดินอาหารได้ในรูป active  form คือ Beta-hydroxyl  form และจะมี first  pass  extraction ที่ตับสูง โดยยาส่วนใหญ่ที่รับประทานจะขับออกทางน้ำดี  เพียงส่วนน้อยที่จะถูกขับออกจากทางปัสสาวะ (ร้อยละ 5-20) แต่ก็สามารถทำให้ระดับยาในเลือดมีเพียงพอที่จะควบคุมระดับ cholesterol ได้ตลอดทั้งวัน  จึงสามารถให้ยาแก่ผู้ป่วยวันละ 1-2 ครั้ง

        นอกจากนี้จากการรับประทานยาวันละ 1 ครั้งยังมีส่วนช่วยเพิ่มความสะดวกและ patient  compliance ของผู้ป่วยได้อีกด้วย

     5.4  เหตุผลที่ให้ยาในจำนวนดังกล่าว (Duration  of  Treatment)

        ให้ยาผู้ป่วยเป็นเวลา 4 สัปดาห์แล้วมาติดตามผลการรักษารวมทั้งสั่งยาทั้งหมด 14 เม็ด  เนื่องจากเป็นการเริ่มต้นการรักษาเพื่อพิจารณาถึง side  effect ในผู้ป่วยรายนี้และขนาดของยาที่เหมาะสมที่จะใช้เพื่อควบคุมระดับ cholesterol  ดังนั้นจึงควรติดตามอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดโดยนัดมาดูอาการอีกครั้งใน 4 สัปดาห์หลังจากการมาครั้งแรก  ซึ่งการให้ยาในจำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนที่ผู้ป่วยรับประทานครบ  4 สัปดาห์แล้วยาหมดพอดี  ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะบอกคนไข้ว่าเมื่อยาหมดแล้วให้กลับมาพบแพทย์อีกครั้ง  

        5.5  พิจารณาระยะเวลาในการรักษา

                เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หายจำต้องใช้ยารักษาตลอดชีวิต  โดยหากไม่รักษาปล่อยให้ Cholesterol ในเลือดสูงจะส่งผลให้เกิด complication ตามมามากมาย เช่น coronary  heart  disease , stroke , TIA เป็นต้น  โดยเมื่อใช้ยา simvastatin ไปประมาณ 4 สัปดาห์ จะเริ่มส่งผลการรักษาคือ มีระดับ LDL-C ลดลง  นอกจากนี้ยังอาจพบ  side  effectต่างๆได้ เช่น myopathy โดยมีการเปลี่ยนแปลง muscle  enzyme ใน 4 สัปดาห์หลังการรักษา , GI  side  effect , hepatotoxicity  โดยเริ่มการเปลี่ยนแปลง Liver  enzyme ใน 3 สัปดาห์หลังการรักษา เป็นต้น  ดังนั้นเราจึงสั่งยาผู้ป่วยรายนี้ใช้ได้นาน 4 สัปดาห์  แล้วนัดมาติดตามผลการรักษาดูประสิทธิภาพยา   side  effect ที่เกิดขึ้น  โดยอาจพิจารณาปรับขนาดยา หรือเปลี่ยนยาต่อไป

        สรุปว่า2(4) ขนาดยาที่ให้คือ 5 mg/วัน  ทางoral  route โดยให้วันละ 1 ครั้งๆละ ½ เม็ดหลังอาหารเย็น  มีความถูกต้องตามหลักเภสัชจลศาสตร์  ดังนี้

                1. เริ่มต้นให้ยาในขนาด dose ต่ำสุดก่อน เพื่อป้องกัน side  effectต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้แล้วจึงเพิ่มยาต่อไป

                2. การให้ยาทางปากเป็นวิธีการให้ที่เหมาะสมเนื่องจากยาดังกล่าวสามารถดูดซึมได้ดีจากทางเดินอาหารรวมทั้งยังต้องเปลี่ยนเป็นรูป active  form ที่ทางเดินอาหารอีกด้วย

                3. การให้ยาวันละครั้งเพื่อเพิ่ม compliance ใหเแก่ผู้ป่วย

                4. ทานยาหลังอาหารเพื่อป้องกัน GI  side  effect

                5. ทานยาในเวลาเย็นเพื่อให้ระดับยาสูงสุดในเลือดตอนประมาณเที่ยงคืน  ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายมีระดับcholesterol ในเลือดสูงที่สุด

        ผลการรักษาที่คาดว่าจะได้เนื่องจากเราให้ยาในขนาดต่ำ คือ 5  mg/วัน  จึงน่าจะช่วยลด LDL-C ได้ประมาณ 18%   เพิ่มHDL-C ประมาณ5%  และลดTG ประมาณ 7%  ซึ่งยังไม่เพียงพอ  ถ้าเป็นไปได้ควรพิจารณาเพิ่มขนาดยาในผู้ป่วยรายนี้ต่อไป